การ ไอ เป็นเลือดถือเป็นหนึ่งในอาการที่สร้างความกังวลแก่ผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมาก เลือดที่ออกมาพร้อมกับเสมหะหรือการไอ ไม่ว่าจะมีปริมาณน้อยหรือมาก ล้วนบ่งชี้ว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจหรืออวัยวะใกล้เคียง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการที่เกี่ยวข้อง และเวลาที่ควรไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ไอเป็นเลือดคืออะไร

ไอเป็นเลือด (Hemoptysis) หมายถึงการมีเลือดปนออกมากับเสมหะขณะไอ เลือดอาจมีสีแดงสด สีชมพู หรือมีลิ่มเลือดปนออกมา ปริมาณเลือดที่ออกอาจมีเพียงเล็กน้อยเป็นจุด ๆ หรืออาจมากจนไหลออกมาเป็นปริมาณหลายช้อนโต๊ะ ซึ่งความรุนแรงแตกต่างกันไปตามสาเหตุ
ควรแยกความแตกต่างระหว่าง ไอเป็นเลือด กับ อาเจียนเป็นเลือด เพราะสองอาการนี้มาจากระบบอวัยวะต่างกัน
- ไอเป็นเลือด มักมีเลือดออกมาพร้อมเสมหะ สีแดงสด หรือมีฟอง
- อาเจียนเป็นเลือด มักออกมาจากทางเดินอาหาร เลือดมีสีคล้ำหรือปนเศษอาหาร
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
การไอเป็นเลือดสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่โรคที่ไม่รุนแรงไปจนถึงโรคร้ายแรงที่ต้องรีบรักษา
1. การติดเชื้อทางเดินหายใจ
- วัณโรคปอด: เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย โดยเชื้อวัณโรคจะทำให้เนื้อปอดถูกทำลายและมีเลือดออก
- หลอดลมอักเสบเรื้อรัง: ผู้ป่วยบางรายอาจมีการระคายเคืองและหลอดเลือดแตกจนทำให้ไอมีเลือดปน
- ปอดอักเสบ (Pneumonia): การติดเชื้อรุนแรงอาจทำให้หลอดเลือดฝอยแตก
2. โรคเรื้อรังของปอด
- มะเร็งปอด: เนื้องอกที่ปอดสามารถทำให้เกิดการฉีกขาดของหลอดเลือดและทำให้ไอเป็นเลือด
- ถุงลมโป่งพอง (Emphysema): โรคปอดเรื้อรังที่เกิดจากการสูบบุหรี่เป็นเวลานาน
3. ภาวะเส้นเลือดผิดปกติ
- หลอดเลือดปอดโป่งพองหรือแตก
- ความดันโลหิตสูงในปอด
4. สาเหตุอื่น ๆ
- การบาดเจ็บบริเวณหน้าอกหรือปอด
- การใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- การสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทางเดินหายใจ
ลักษณะของเลือดที่ออกมาและความหมาย
การสังเกตลักษณะของเลือดที่ออกมาสามารถช่วยบอกความรุนแรงได้
- เลือดสีแดงสดและมีฟอง: มักมาจากปอดหรือหลอดลม
- เลือดสีคล้ำและมีลิ่ม: อาจเกิดจากแผลเรื้อรังหรือหลอดเลือดแตกในปอด
- เลือดปริมาณน้อยเป็นเส้น ๆ ในเสมหะ: อาจเกิดจากการอักเสบของหลอดลม
- เลือดออกมากเกิน 200 มิลลิลิตรต่อวัน: จัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตราย
อาการร่วมที่ควรใส่ใจ
การไอเป็นเลือดมักมาพร้อมกับอาการอื่นที่ช่วยบอกสาเหตุได้ เช่น
- ไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก
- เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก
- เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก
- มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกกลางคืน
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- สูบบุหรี่เป็นเวลานาน
การวินิจฉัยจากแพทย์
เมื่อไปพบแพทย์ ผู้ป่วยจะได้รับการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจเพิ่มเติมตามความจำเป็น เช่น
- เอกซเรย์ปอด: เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ ปอดอักเสบ หรือรอยโรควัณโรค
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan): ให้ภาพที่ละเอียดขึ้นในการหาสาเหตุ
- การส่องกล้องตรวจหลอดลม (Bronchoscopy): ใช้เพื่อตรวจหาตำแหน่งเลือดออกโดยตรง
- การตรวจเสมหะ: หาเชื้อวัณโรคหรือเซลล์มะเร็ง
- การตรวจเลือด: เพื่อดูการติดเชื้อและการแข็งตัวของเลือด
การรักษา
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง
- กรณีเลือดออกเล็กน้อย
- รักษาตามสาเหตุ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อ หรือยาละลายเสมหะ
- แนะนำให้พักผ่อนและเลี่ยงการไอแรง ๆ
- กรณีเลือดออกปานกลางถึงรุนแรง
- ผู้ป่วยอาจต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวัง
- การให้เลือดหากเสียเลือดมาก
- การส่องกล้องเพื่อห้ามเลือด หรือใช้การอุดหลอดเลือด (embolization)
- การผ่าตัดในกรณีที่มีก้อนเนื้อหรือความผิดปกติที่แก้ไขด้วยวิธีอื่นไม่ได้
เวลาที่ควรรีบไปพบแพทย์
แม้การไอมีเลือดปนเล็กน้อยอาจเกิดจากการอักเสบทั่วไป แต่ก็ไม่ควรมองข้าม โดยควรไปพบแพทย์ทันทีหากพบว่า:
- ไอเป็นเลือดปริมาณมาก
- ไอเป็นเลือดต่อเนื่องหลายวัน
- มีไข้สูง หนาวสั่น หรือหายใจลำบาก
- น้ำหนักลดหรืออ่อนเพลียเรื้อรัง
- เคยมีประวัติเป็นวัณโรค มะเร็งปอด หรือสูบบุหรี่เป็นเวลานาน
การป้องกันการไอเป็นเลือด
- เลิกสูบบุหรี่: ลดความเสี่ยงการเกิดโรคปอดเรื้อรังและมะเร็งปอด
- ป้องกันการติดเชื้อ: หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากในที่เสี่ยง และฉีดวัคซีนตามคำแนะนำ
- ตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติเสี่ยง เช่น ผู้สูบบุหรี่หรือผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมมีฝุ่น
- ดูแลสุขภาพร่างกาย: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกาย
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการไอเป็นเลือด
แม้ว่าการไอเป็นเลือดบางครั้งจะมีปริมาณไม่มากและหยุดได้เอง แต่หากไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น
- การเสียเลือดจำนวนมาก
ผู้ป่วยที่มีเลือดออกปริมาณมากอาจเกิดภาวะช็อกจากการเสียเลือด ซึ่งเป็นภาวะอันตรายถึงชีวิตได้ - การอุดกั้นทางเดินหายใจ
เลือดที่ออกจำนวนมากอาจไหลเข้าสู่หลอดลมและปอด ทำให้หายใจลำบากหรือขาดอากาศหายใจ - การติดเชื้อแทรกซ้อน
หากสาเหตุเกิดจากโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคหรือปอดอักเสบ และไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายหรือเกิดฝีในปอด - การทำงานของปอดลดลง
ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรังที่มีการไอเป็นเลือดบ่อย ๆ อาจทำให้สมรรถภาพปอดลดลง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
กลุ่มเสี่ยงที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
บางกลุ่มบุคคลมีความเสี่ยงสูงต่อการไอเป็นเลือด และหากเกิดขึ้นควรได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ได้แก่
- ผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันและมลพิษเป็นเวลานาน
- ผู้ที่มีประวัติวัณโรคหรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค
- ผู้ที่มีประวัติโรคปอดเรื้อรัง เช่น ถุงลมโป่งพอง หอบหืดเรื้อรัง
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่ทำงานในโรงงานหรือเหมืองที่มีฝุ่น สารเคมี หรือใยหิน (Asbestos)
แนวทางการดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อไอเป็นเลือด
หากเกิดอาการไอเป็นเลือดขึ้นที่บ้าน สิ่งที่ควรทำคือ
- นั่งตัวตรงหรือเอนเล็กน้อย เพื่อช่วยให้เลือดไม่ไหลย้อนเข้าสู่ทางเดินหายใจ
- จดบันทึกปริมาณเลือดและลักษณะ เช่น สี ปริมาณ ระยะเวลาที่เกิด
- เลี่ยงการใช้แรงในการไอหรือขากเสมหะรุนแรง เพราะอาจทำให้เลือดออกมากขึ้น
- ดื่มน้ำในปริมาณพอเหมาะ เพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้น แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไปจนทำให้ไอหนักขึ้น
- รีบไปพบแพทย์ หากเลือดออกไม่หยุดหรือมีอาการร่วมที่น่ากังวล
บทบาทของครอบครัวและผู้ดูแล
การมีคนในครอบครัวที่มีอาการไอเป็นเลือด ไม่เพียงแต่ต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ แต่ยังต้องการการสนับสนุนทางด้านจิตใจด้วย ครอบครัวควร:
- ช่วยเฝ้าสังเกตอาการและจดบันทึกเพื่อนำไปบอกแพทย์
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามที่แพทย์สั่งอย่างครบถ้วน
- สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดบุหรี่และฝุ่น
- ให้กำลังใจผู้ป่วยเพื่อป้องกันความวิตกกังวลที่อาจทำให้สุขภาพแย่ลง
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการไอเป็นเลือด
- “ไอเป็นเลือดนิดหน่อยไม่เป็นไร”
ความจริงคือ แม้จะเป็นเลือดปริมาณเล็กน้อยก็อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง เช่น วัณโรคหรือมะเร็งปอด - “อาการนี้เกิดจากการออกแรงมากหรือไอแรงเกินไป”
แม้บางกรณีอาจใช่ แต่การสรุปเช่นนี้โดยไม่ตรวจวินิจฉัยอาจทำให้พลาดการรักษาโรคสำคัญได้ - “หากหยุดไอเป็นเลือดแล้วแสดงว่าหายดี”
เลือดอาจหยุดไหลชั่วคราว แต่สาเหตุที่แท้จริงยังคงอยู่ การตรวจหาต้นเหตุจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การป้องกันในระยะยาว
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการไอเป็นเลือดหรือเพื่อดูแลสุขภาพปอดโดยรวม ควรปฏิบัติดังนี้:
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการได้รับควันบุหรี่มือสอง
- รักษาสุขอนามัย หมั่นล้างมือและสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงโรคติดเชื้อ
- รับวัคซีนที่จำเป็น เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่หรือวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผัก ผลไม้ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การดูแลผู้ป่วยไอเป็นเลือดในภาวะฉุกเฉิน
เมื่อพบว่าผู้ป่วยมีอาการไอเป็นเลือดในปริมาณมาก ควรปฏิบัติดังนี้ทันที:
- จัดท่านั่งเอนตัวไปข้างหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลเข้าสู่ทางเดินหายใจส่วนลึกและปอดข้างที่ปกติ
- หากทราบว่ามีเลือดออกจากปอดข้างใด ให้จัดท่านอนตะแคงโดยให้ด้านที่มีเลือดออกอยู่ข้างล่าง เพื่อลดการแพร่กระจายของเลือดไปอีกข้างหนึ่ง
- ไม่ให้ผู้ป่วยนอนราบ เพราะอาจทำให้เลือดไหลย้อนลงไปในทางเดินหายใจและเสี่ยงขาดอากาศหายใจ
- โทรเรียกรถพยาบาลหรือรีบนำส่งโรงพยาบาล ไม่ควรรอให้เลือดหยุดเอง
- ไม่ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารทันที เพราะอาจเสี่ยงสำลักหากเลือดยังออกอยู่
การวินิจฉัยแยกโรคที่เกี่ยวข้อง
แพทย์มักต้องวินิจฉัยแยกว่าอาการไอเป็นเลือดเกิดจากระบบทางเดินหายใจจริง หรือเป็นเลือดจากระบบอื่นที่ไหลเข้าสู่ปากและคอ เช่น:
- เลือดออกจากโพรงจมูก (Epistaxis): เลือดจากจมูกที่ไหลลงคออาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดว่าไอเป็นเลือด
- เลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนบน: เช่น แผลในกระเพาะอาหารหรือเส้นเลือดขอดที่หลอดอาหาร ซึ่งอาเจียนออกมาเป็นเลือดคล้ำ แตกต่างจากไอเป็นเลือดที่มักเป็นสีแดงสดและมีฟอง
- โรคหัวใจบางชนิด: เช่น ภาวะลิ้นหัวใจไมตรัลตีบ (Mitral stenosis) อาจทำให้ความดันในปอดสูงและเกิดไอเป็นเลือดได้
ผลกระทบทางจิตใจของผู้ป่วย
ผู้ที่มีอาการไอเป็นเลือดมักเกิดความกลัวและวิตกกังวล เนื่องจากเชื่อมโยงกับโรคร้ายแรง เช่น วัณโรคหรือมะเร็งปอด ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกสิ้นหวังหรือตกใจจนไม่กล้าไปพบแพทย์ ครอบครัวจึงมีบทบาทสำคัญในการให้กำลังใจ อธิบายอย่างเข้าใจง่าย และสนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโดยเร็ว
การรักษาแบบเสริมและการฟื้นฟู
นอกเหนือจากการรักษาโดยแพทย์แล้ว ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองเพื่อเสริมสร้างสุขภาพปอดและลดโอกาสเกิดการไอเป็นเลือดซ้ำ ได้แก่:
- การทำกายภาพบำบัดปอด (Pulmonary rehabilitation): เพื่อเพิ่มสมรรถภาพปอดในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
- การฝึกหายใจลึกและช้า ช่วยให้ปอดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- โภชนาการที่เหมาะสม: เลือกอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีนที่มีคุณภาพ
- การเลิกบุหรี่และสารเสพติดทุกชนิด: เป็นก้าวสำคัญที่สุดในการป้องกันโรคปอดร้ายแรง
ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในการรักษาไอเป็นเลือด
ในปัจจุบัน มีเทคนิคและวิธีการรักษาที่ทันสมัยซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการไอเป็นเลือด เช่น:
- การอุดหลอดเลือด (Bronchial Artery Embolization): เป็นหัตถการที่ใช้สายสวนทางรังสีวิทยาเพื่ออุดหลอดเลือดที่มีการรั่วหรือแตก ช่วยหยุดเลือดได้อย่างรวดเร็ว
- การส่องกล้องหลอดลมขั้นสูง: ใช้ทั้งเพื่อวินิจฉัยและรักษา เช่น การจี้ไฟฟ้า (electrocautery) หรือการใช้เลเซอร์ห้ามเลือด
- การผ่าตัดปอดบางส่วน: ใช้ในกรณีที่มีโรคร้ายแรงหรือก้อนเนื้อที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีอื่น
บทสรุปเพิ่มเติม
การไอเป็นเลือดไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือรุนแรง ล้วนเป็นอาการที่ควรให้ความสำคัญ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงโรคที่ซ่อนอยู่ การรู้จักสังเกตลักษณะเลือด อาการร่วม และการปฏิบัติตัวในภาวะฉุกเฉินสามารถช่วยชีวิตได้ การเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด