Close Menu
    phuketbar
    • Home
    • ข่าวสารล่าสุด
    • ความบันเทิง
    phuketbar
    ข่าวสารล่าสุด

    กลืนลำบาก (Dysphagia): ปัญหาการ กลืน ที่ไม่ควรมองข้าม

    Christian MooreBy Christian MooreSeptember 2, 2025No Comments2 Mins Read

    การ กลืน อาหารเป็นกิจกรรมที่ดูเหมือนธรรมดาและเกิดขึ้นทุกวัน แต่ในความเป็นจริง กลไกการกลืนเป็นกระบวนการซับซ้อนที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของปาก ลำคอ และหลอดอาหาร เมื่อใดที่ระบบเหล่านี้มีความผิดปกติ ก็อาจก่อให้เกิด อาการกลืนลำบาก (Dysphagia) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตแล้ว ยังอาจบ่งชี้ถึงโรคร้ายแรงที่ซ่อนอยู่

    กลืนลำบากคืออะไร

    คำว่า Dysphagia หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีปัญหาในการกลืนอาหารหรือเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นการกลืนช้าลง รู้สึกติดขัด เจ็บขณะกลืน หรือแม้แต่ไม่สามารถกลืนได้ตามปกติ อาการนี้ไม่ใช่โรคโดยตรง แต่เป็นอาการที่เกิดจากความผิดปกติของระบบกลืน ซึ่งอาจมีสาเหตุหลากหลายตั้งแต่ไม่รุนแรงจนถึงโรคที่อันตราย

    ชนิดของกลืนลำบาก

    กลืนลำบากสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ

    1. กลืนลำบากจากช่องปากและคอหอย (Oropharyngeal Dysphagia)
      เกิดจากปัญหาในระยะเริ่มต้นของการกลืน เช่น ปาก ลิ้น หรือคอหอยทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยอาจสำลักง่าย ไอ หรือจามทันทีเมื่อพยายามกลืนอาหาร
    2. กลืนลำบากจากหลอดอาหาร (Esophageal Dysphagia)
      เกิดจากการที่อาหารไม่สามารถเคลื่อนจากหลอดอาหารลงสู่กระเพาะอาหารได้ตามปกติ มักเกิดจากการตีบตันหรือการบีบตัวผิดปกติของหลอดอาหาร

    สาเหตุของกลืนลำบาก

    ภาวะกลืนลำบากสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

    1. กล้ามเนื้อและเส้นประสาทผิดปกติ
      • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
      • โรคพาร์กินสัน
      • โรคกล้ามเนื้อเสื่อม (Muscular dystrophy)
      • โรคระบบประสาทเสื่อม เช่น ALS (Amyotrophic lateral sclerosis)
    2. ความผิดปกติของหลอดอาหาร
      • หลอดอาหารตีบหรือตันจากพังผืดหรือเนื้องอก
      • กรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) จนเกิดแผลเป็น
      • Achalasia: ภาวะที่กล้ามเนื้อหลอดอาหารส่วนล่างไม่คลายตัว
    3. การติดเชื้อและการอักเสบ
      • การติดเชื้อราในช่องปากและหลอดอาหาร
      • การอักเสบของหลอดอาหารจากกรดหรือยาบางชนิด
    4. สาเหตุอื่น ๆ
      • การผ่าตัดบริเวณคอหรือทรวงอก
      • ผลข้างเคียงจากการฉายรังสีรักษามะเร็ง
      • ภาวะจิตใจ เช่น กลืนลำบากจากความเครียดหรือความกังวล

    อาการที่พบบ่อย

    ผู้ที่มีภาวะกลืนลำบากอาจแสดงอาการแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปมักมีอาการดังนี้

    • รู้สึกว่าอาหารติดคอหรือติดอยู่กลางอก
    • เจ็บหรือไม่สบายเมื่อกลืน
    • ไอหรือสำลักบ่อย โดยเฉพาะเมื่อดื่มน้ำ
    • น้ำลายไหลออกจากปากเพราะกลืนไม่ลง
    • การกินอาหารใช้เวลานานกว่าปกติ
    • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • เสียงแหบหรือเปลี่ยนไปหลังกลืน

    ภาวะแทรกซ้อนจากกลืนลำบาก

    หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ภาวะกลืนลำบากอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนดังนี้

    • ขาดสารอาหารและน้ำ เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เพียงพอ
    • สำลักอาหารเข้าปอด (Aspiration pneumonia) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
    • น้ำหนักลดและอ่อนเพลียเรื้อรัง
    • คุณภาพชีวิตลดลง เพราะผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ

    การวินิจฉัย

    แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น

    • การส่องกล้องตรวจหลอดอาหาร (Endoscopy) เพื่อตรวจหาการตีบตันหรือก้อนเนื้อ
    • การกลืนแป้งแบเรียม (Barium swallow) โดยให้ผู้ป่วยกลืนน้ำหรืออาหารผสมสารทึบรังสีเพื่อดูการทำงานของหลอดอาหารผ่านเอกซเรย์
    • การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร (Esophageal manometry) วัดแรงดันและการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อหลอดอาหาร
    • การตรวจภาพสมองหรือระบบประสาท ในกรณีที่สงสัยโรคทางระบบประสาท

    การรักษา

    การรักษาภาวะกลืนลำบากขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริง โดยวิธีที่ใช้บ่อย ได้แก่

    1. การปรับพฤติกรรมการกิน
      • รับประทานอาหารอ่อนหรือบดละเอียด
      • ดื่มน้ำข้นหรือน้ำที่ผสมสารทำให้เหนียวเพื่อลดการสำลัก
      • นั่งตัวตรงขณะกินและหลังกินอย่างน้อย 30 นาที
    2. การทำกายภาพบำบัดการกลืน (Swallowing therapy)
      นักกิจกรรมบำบัดหรือนักบำบัดการพูดจะช่วยฝึกกล้ามเนื้อและสอนท่าทางการกลืนที่ปลอดภัย
    3. การรักษาทางยา
      • ยาลดกรดและยาควบคุมกรดสำหรับผู้ที่มีกรดไหลย้อน
      • ยาคลายกล้ามเนื้อสำหรับผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อเกร็งของหลอดอาหาร
    4. การรักษาด้วยหัตถการหรือการผ่าตัด
      • การขยายหลอดอาหาร (Dilatation)
      • การผ่าตัดนำก้อนเนื้อหรือพังผืดออก
      • การใส่สายให้อาหาร (Feeding tube) ในกรณีที่ไม่สามารถกลืนได้เลย

    การป้องกัน

    แม้ไม่สามารถป้องกันภาวะกลืนลำบากได้ทั้งหมด แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลสุขภาพดังนี้

    • เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและกินอย่างช้า ๆ
    • หลีกเลี่ยงการนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร
    • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดความเสี่ยงโรคกรดไหลย้อนและมะเร็งหลอดอาหาร
    • รักษาโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน และกรดไหลย้อนให้ดี
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาทางระบบประสาท

    ควรไปพบแพทย์เมื่อใด

    • มีอาการกลืนลำบากนานเกิน 2 สัปดาห์
    • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • ไอหรือสำลักบ่อยจนหายใจลำบาก
    • เจ็บหน้าอกหรือเจ็บคอรุนแรงเวลากลืน
    • กลืนแล้วมีเสียงแหบเรื้อรังหรือไอมีเลือดปน

    แนวทางโภชนาการสำหรับผู้ที่มีภาวะกลืนลำบาก

    หนึ่งในปัญหาหลักของผู้ป่วยที่มีอาการกลืนลำบากคือการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากความยากลำบากในการกลืนอาหารบางประเภท การปรับรูปแบบการกินจึงเป็นสิ่งสำคัญ

    อาหารที่เหมาะสม

    1. อาหารเนื้อนุ่มและบดละเอียด
      เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก มันฝรั่งบด ไข่ตุ๋น หรือปลานึ่ง เนื่องจากย่อยง่ายและกลืนได้สะดวก
    2. อาหารเหลวข้น (Thickened liquids)
      เครื่องดื่มที่มีความหนืดเล็กน้อย เช่น สมูทตี้ นมปั่น หรือน้ำซุปข้น จะช่วยลดการสำลักดีกว่าน้ำใส
    3. อาหารที่มีความชุ่มชื้น
      เช่น ผลไม้เนื้อนิ่มอย่างกล้วยสุก มะละกอ แตงโม หรือโยเกิร์ต ซึ่งทำให้กลืนง่ายขึ้น
    4. อาหารที่เสริมพลังงานและโปรตีน
      ควรเพิ่มส่วนผสม เช่น ผงโปรตีน เต้าหู้ นม หรือถั่วบด เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารและน้ำหนักลดลง

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

    • อาหารแห้ง แข็ง หรือกรอบ เช่น ขนมปังแห้ง คุกกี้ หรือถั่วแข็ง เพราะเสี่ยงติดคอ
    • อาหารที่มีเส้นใยเหนียว เช่น เนื้อสัตว์เหนียว ผักใบยาวที่ไม่สุกนิ่ม
    • เครื่องดื่มใส เช่น น้ำเปล่า ชาใส กาแฟดำ เนื่องจากไหลเร็วและทำให้สำลักง่าย
    • อาหารเผ็ดจัดหรือเปรี้ยวจัด เพราะอาจกระตุ้นกรดไหลย้อนและทำให้ระคายคอ

    เทคนิคการกินเพื่อความปลอดภัย

    • นั่งตัวตรง ระหว่างรับประทานอาหารและอย่างน้อย 30 นาทีหลังมื้ออาหาร
    • รับประทานคำเล็ก ๆ และเคี้ยวช้า ๆ ให้ละเอียด
    • ใช้ท่าทางช่วยการกลืน เช่น ก้มคางเล็กน้อยขณะกลืนเพื่อลดความเสี่ยงการสำลัก
    • แบ่งมื้ออาหารเป็นหลายมื้อเล็ก ๆ แทนการกินมื้อใหญ่ เพื่อไม่ให้เหนื่อยล้า
    • ใช้เครื่องมือช่วย เช่น ช้อนเล็ก หรือถ้วยพิเศษสำหรับของเหลวข้น

    การดูแลในชีวิตประจำวัน

    1. การออกกำลังกายกล้ามเนื้อกลืน
      นักกิจกรรมบำบัดอาจแนะนำการฝึกเช่น การออกเสียงบางพยางค์ การกลืนซ้ำโดยตั้งใจ หรือการออกกำลังกายลิ้น เพื่อเพิ่มแรงและการประสานงานของกล้ามเนื้อ
    2. การดูแลสุขอนามัยในช่องปาก
      ผู้ที่กลืนลำบากมีความเสี่ยงอาหารตกค้างในปากและฟัน จึงควรแปรงฟันและบ้วนปากหลังอาหารทุกครั้ง เพื่อลดการติดเชื้อและป้องกันการสำลักเศษอาหาร
    3. การจัดสิ่งแวดล้อมการกิน
      บรรยากาศควรเงียบสงบ ไม่ควรกินอาหารขณะรีบเร่งหรือพูดคุยมากเกินไป เพราะอาจทำให้กลืนผิดจังหวะและเสี่ยงต่อการสำลัก
    4. การดูแลสุขภาพจิตใจ
      ภาวะกลืนลำบากอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกังวล ไม่มั่นใจ หรือหลีกเลี่ยงการกินร่วมกับผู้อื่น ควรให้กำลังใจและสนับสนุน เพื่อให้ผู้ป่วยคงคุณภาพชีวิตที่ดี

    กรณีตัวอย่าง

    • ผู้สูงอายุหลังโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): มักมีปัญหากลืนลำบากเนื่องจากกล้ามเนื้อคอและเส้นประสาทเสียหาย การฟื้นฟูด้วยการฝึกกลืนและการปรับอาหารช่วยให้กลับมากินได้ใกล้เคียงปกติ
    • ผู้ที่มีกรดไหลย้อนเรื้อรัง: กรดทำให้หลอดอาหารอักเสบและตีบ การรักษาด้วยยาลดกรดร่วมกับการขยายหลอดอาหารช่วยให้อาการดีขึ้น
    • ผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหาร: อาจต้องใช้การผ่าตัดหรือใส่สายให้อาหารชั่วคราว เพื่อคงการได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ

    Checklist สรุปความรู้เรื่องกลืนลำบาก (Dysphagia)

    อาการเตือนที่ควรสังเกต

    • รู้สึกว่าอาหารหรือน้ำติดคอหรือติดกลางอก
    • ไอหรือสำลักบ่อย โดยเฉพาะเมื่อดื่มน้ำ
    • เจ็บหรือไม่สบายขณะกลืน
    • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • ใช้เวลาในการกินนานกว่าปกติ
    • เสียงเปลี่ยนหรือเสียงแหบหลังกลืนอาหาร

    สาเหตุที่พบบ่อย

    • โรคหลอดเลือดสมอง, โรคพาร์กินสัน, โรคระบบประสาทเสื่อม
    • หลอดอาหารตีบจากพังผืดหรือเนื้องอก
    • กรดไหลย้อนเรื้อรัง
    • การติดเชื้อในช่องปากและหลอดอาหาร
    • ผลข้างเคียงจากการฉายรังสีหรือการผ่าตัด

    ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

    • ขาดสารอาหารและน้ำ
    • ปอดอักเสบจากการสำลัก (Aspiration pneumonia)
    • น้ำหนักลดและร่างกายอ่อนแอ
    • คุณภาพชีวิตลดลง

    วิธีดูแลและรักษา

    • ปรับอาหารเป็นอาหารอ่อน เนื้อนุ่ม หรือเหลวข้น
    • หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง แห้ง หรือเผ็ดจัด
    • ฝึกการกลืนกับนักบำบัดการพูดหรือกิจกรรมบำบัด
    • ใช้ยาลดกรด ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือการขยายหลอดอาหารตามแพทย์สั่ง
    • นั่งตัวตรงและกินคำเล็ก ๆ เคี้ยวช้า ๆ
    • แบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อยครั้ง

    การป้องกัน

    • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด กินอย่างช้า ๆ
    • งดนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร
    • รักษาโรคประจำตัว เช่น เบาหวานหรือกรดไหลย้อนให้ดี
    • งดบุหรี่และแอลกอฮอล์
    • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

    เมื่อใดควรรีบพบแพทย์

    • กลืนลำบากต่อเนื่องนานเกิน 2 สัปดาห์
    • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • สำลักบ่อยจนหายใจลำบาก
    • กลืนแล้วเจ็บหน้าอกหรือคออย่างรุนแรง
    • ไอเป็นเลือดหรือมีเสียงแหบเรื้อรัง

    บทส่งท้าย

    อาการกลืนลำบากอาจดูเหมือนเป็นเพียงความไม่สะดวกเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วสามารถส่งสัญญาณถึงโรคร้ายแรงและภาวะแทรกซ้อนที่คุกคามชีวิตได้ การรับรู้และไม่มองข้ามอาการเหล่านี้คือก้าวแรกของการป้องกันและรักษาที่มีประสิทธิภาพ

    Christian Moore

    Related Posts

    โรคเบาหวาน ภัยเงียบ – การตรวจพบและวิธีการรักษาแต่เนิ่นๆ

    August 9, 2025

    วิธีตรวจสอบความถูกต้องของผลิตภัณฑ์ดูแล ผิว เพื่อหลีกเลี่ยงของปลอม

    July 26, 2025

    เคล็ดลับกำจัด กลิ่น ใต้วงแขนด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ

    July 25, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.